Desserts Mate (ดิเซิร์ท เมท)

เทคนิคการตั้งราคาเบเกอรี่ให้มีกำไร

การตั้งราคาเบเกอรี่

การตั้งราคาเบเกอรี่

การตั้งราคาเบเกอรี่ที่เหมาะสมไม่เพียงแต่จะช่วยป้องกันการขาดทุน แต่ยังช่วยให้ธุรกิจของคุณยั่งยืน และมีกำไรในระยะยาว นอกจากนี้ยังสำคัญที่จะมีการบริหารจัดการทางการเงินที่ดีเพื่อติดตาม และช่วยให้ปรับปรุงต้นทุนและราคาขายอย่างต่อเนื่องตามเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง

ราคาเบเกอรี่มีความสำคัญต่อธุกิจอย่างไร

  1. ครอบคลุมต้นทุนและสร้างกำไร
    การตั้งราคาที่เหมาะสมช่วยให้ธุรกิจครอบคลุมต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการผลิต (เช่น วัตถุดิบ, แรงงาน, ค่าไฟฟ้า) และค่าใช้จ่ายอื่นๆ รวมถึงสร้างกำไรที่เพียงพอสำหรับการดำเนินธุรกิจ.
  2. การจัดตำแหน่งแบรนด์
    ราคาสามารถสะท้อนถึงคุณภาพและตำแหน่งของแบรนด์ในตลาด. ราคาที่สูงกว่าอาจสื่อถึงผลิตภัณฑ์พรีเมี่ยม, ในขณะที่ราคาที่ต่ำกว่าอาจดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่มีความสำคัญในราคา.
  3. การแข่งขัน
    การตั้งราคาที่เหมาะสมช่วยให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้ในตลาดที่มีคู่แข่งหลายราย โดยไม่ทำให้ตัวเองเสียเปรียบ
  4. การส่งเสริมการขายและการตลาด
    ราคาสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการขาย, เช่น การใช้ส่วนลดหรือโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นการขาย การตั้งราคาที่สอดคล้องกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ช่วยสร้างความพึงพอใจในกลุ่มลูกค้า
  5. ความยั่งยืนของธุรกิจ
    ราคาที่ถูกต้องช่วยให้ธุรกิจมีความยั่งยืนในระยะยาว โดยสร้างกระแสเงินสดที่เพียงพอสำหรับการลงทุนและการเติบโตในอนาคต
  6. การสร้างฐานลูกค้า
    การกำหนดราคาที่เหมาะสมสามารถช่วยดึงดูดและรักษาฐานลูกค้าที่มีความภักดี โดยการนำเสนอคุณค่าที่ดีเมื่อเทียบกับราคา
  7. ปรับตัวตามสภาพตลาดและเศรษฐกิจ
    การตั้งราคาอย่างยืดหยุ่นช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวตามเศรษฐกิจและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง
  8. การบริหารจัดการและการวางแผนทางการเงิน
    การตั้งราคาที่เหมาะสมช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการคาดการณ์รายได้และกำไร

ตั้งราคาอย่างไรไม่ให้ขาดทุน

  1. คำนวณต้นทุนแบบครบวงจร
    คำนวณต้นทุนทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการผลิตแต่ละชิ้นของเบเกอรี่ รวมถึงต้นทุนวัตถุดิบ, ค่าแรงงาน, ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ (เช่น ค่าไฟฟ้า, น้ำ, ค่าเช่า), ต้นทุนอุปกรณ์ (การคิดค่าเสื่อมราคา), และต้นทุนการตลาด
  2. กำหนดต้นทุนต่อหน่วย
    แบ่งต้นทุนรวมด้วยจำนวนหน่วยที่ผลิตได้เพื่อหาต้นทุนต่อหน่วย. ต้องแน่ใจว่าคุณคำนวณทุกอย่างเพื่อให้ได้ตัวเลขที่แม่นยำ
  3. เพิ่มกำไรที่ต้องการ
    หลังจากหาต้นทุนต่อหน่วยแล้ว, กำหนดเปอร์เซ็นต์กำไรที่คุณต้องการ. ตัวอย่างเช่น, หากต้นทุนต่อหน่วยคือ 20 บาท และคุณต้องการกำไร 30%, ราคาขายควรเป็น 20 บาท + (20 x 0.30) = 26 บาท
  4. พิจารณาตลาดและคู่แข่ง
    ตรวจสอบราคาของคู่แข่งและตลาดโดยรวม. ราคาของคุณควรสอดคล้องกับระดับตลาด เพื่อไม่ให้สูงเกินไปจนไม่มีใครซื้อ หรือต่ำเกินไปจนขาดทุน
  5. การทดลองและการปรับปรุง
    หลังจากกำหนดราคาขายแล้ว, อาจต้องทำการทดลองในตลาดจริงและปรับปรุงราคาตามความต้องการของลูกค้าและสถานการณ์ตลาด
  6. การรักษาความยืดหยุ่น
    พร้อมที่จะปรับราคาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของต้นทุน เช่น การเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบหรือการเปลี่ยนแปลงในตลาด

เทคนิคและกลยุทธ์การตั้งราคา

  1. คำนวณต้นทุน
    คำนวณต้นทุนของสินค้า รวมถึงวัตถุดิบ, ค่าแรง, ค่าไฟ, ค่าเช่าสถานที่, และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตแต่ละชิ้น ราคาขายควรครอบคลุมต้นทุนและมีกำไรเพิ่มเติม
  2. การวิเคราะห์ตลาด
    ดูราคาของคู่แข่งและระดับราคาทั่วไปในตลาดเพื่อให้ราคาของคุณไม่สูงหรือต่ำเกินไปจากมาตรฐานตลาด
  3. ระดับคุณภาพ
    หากสินค้าของคุณมีคุณภาพสูงกว่าคู่แข่งหรือมีจุดเด่นพิเศษ, อาจตั้งราคาสูงกว่าตลาดได้
  4. การกำหนดราคาเชิงจิตวิทยา
    การตั้งราคาเช่น 99.99 บาทแทน 100 บาท สามารถทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าราคาถูกกว่า
  5. โอกาสพิเศษหรือปรับราคาตามฤดูกาล
    กำหนดการขายราคาพิเศษเพื่อดึงดูดลูกค้าในช่วงเวลา หรือเทศกาลต่าง ๆ
  6. โปรโมชั่นและส่วนลด
    นำเสนอส่วนลด หรือโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้า และกระตุ้นการซื้อ
  7. การทดสอบราคา
    ลองตั้งราคาแตกต่างกันในช่วงเวลาหรือสถานที่ต่างๆ เพื่อดูว่าราคาใดที่ลูกค้าตอบสนองดีที่สุด
  8. การตั้งราคาแบบเลเยอร์
    นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีราคาแตกต่างกันเพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย

สนใจสอบถาม/สั่งซื้อ ผงไส้สำเร็จรูป คลิ๊ก : @ Desserts Mate